อาการปวดที่ควรจัดกระดูก
อาการปวดที่รักษาได้โดยการจัดกระดูก หรือไคโรแพรคติกและกายภาพบำบัด
ปวดหัว
อาการนี้คืออะไร สาเหตุ และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
คือ อาการที่รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายในส่วนของศีรษะ อาจมีความรุนแรงและรูปแบบต่างๆ ขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น การปวดแบบตื้อๆ การปวดแบบตึงหรือการปวดเหมือนถูกบีบ ซึ่งอาการปวดหัวสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความเครียด ความเหนื่อยล้า การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือแม้กระทั่งการเป็นโรคบางชนิด เช่น ไมเกรน หรือการติดเชื้อ
แนวทางในการสังเกตด้วยตัวเอง
ความถี่และความรุนแรง
- บ่อยแค่ไหน ปวดหัวเป็นประจำหรือไม่
- ระดับความรุนแรง ใช้การวัดระดับจาก 1-10 เพื่อประเมินว่าอาการปวดมากน้อยเพียงใด
- ลักษณะการปวดเป็นการปวดตื้อ ปวดจี๊ด หรือรู้สึกตึงๆ
ตำแหน่งการปวด
- ปวดด้านใด ปวดที่ข้างเดียวของศีรษะ หรือทั้งสองข้าง
- ปวดบริเวณไหน หน้าผาก ขมับ ท้ายทอย หรือรอบดวงตา
ปัจจัยกระตุ้น
- มีสิ่งใดที่ทำให้ปวดหัว เช่น ความเครียด เสียงดัง แสงจ้า กลิ่นแรงๆ หรือการทานอาหารบางประเภท
- การเปลี่ยนแปลงของการนอนหลับ การดื่มน้ำ ไม่เพียงพอ หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
อาการร่วม
- มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ มองเห็นภาพไม่ชัด หรือมีความไวต่อแสงและเสียง
- หากมีไข้หรือคอแข็งร่วมด้วย ควรระมัดระวังเพราะอาจบ่งบอกถึงโรคร้ายแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
เวลาที่เกิดอาการ
- ปวดหัวเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหนบ่อยที่สุด เช่น หลังตื่นนอนตอนบ่าย หรือก่อนนอน
- หากปวดหัวในช่วงเวลาเดิมบ่อยๆ ควรสังเกตว่าเกี่ยวข้องกับกิจวัตรประจำวันหรือไม่
วิธีการรักษา
การพักผ่อน
การพักผ่อนให้เพียงพอและการนอนหลับ อย่างมีคุณภาพช่วยลดความเครียดและ บรรเทาอาการปวดหัวได้
การดื่มน้ำมากๆ
รักษาร่างกายให้มีความชุ่มชื้น เพียงพอ เพราะการขาดน้ำอาจทำให้ เกิดอาการปวดหัว
การลดปัจจัยกระตุ้น
หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิด อาการปวดหัว เช่น แสงจ้า เสียงดัง หรือการทานอาหารบางประเภท
การออกกำลังกายเบาๆ
เช่น การยืดเส้นยืดสาย การฝึกโยคะ หรือการเดินเล่น ช่วยเพิ่มการไหลเวียน ของเลือดและลดความตึงเครียด
การประคบร้อน/เย็น
การประคบร้อนหรือเย็นบริเวณศีรษะ หรือคอ สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้
การผ่อนคลายด้วยเทคนิค
ใช้การหายใจลึก การทำสมาธิ หรือการนวดเบาๆ บริเวณที่ปวด
การบำบัดทางกายภาพ (Physical Therapy)
หากอาการปวดหัวเกิดจากกล้ามเนื้อ ตึงตัว แพทย์อาจแนะนำให้ทำกายภาพบำบัด โดยจะใช้ เครื่องมือการรักษาทางกายภาพ บำบัด (Ultrasound , Electrical stimulation , Shockwave , PMS)
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
การจัดการกับความเครียด การปรับปรุงการนอนหลับ หรือการควบคุมอาหาร
วิธีการป้องกัน
ปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน
- การนอน หลับให้เพียงพอ : ควรนอนหลับประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน และพยายามเข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน
- ทานอาหารให้ตรงเวลา : หลีกเลี่ยงการงดอาหาร เพราะการขาด พลังงานอาจทำให้ปวดหัวได้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ : การขาดน้ำเป็นสาเหตุหนึ่งของการปวดหัว ควร ดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอระหว่างวัน
หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
- อาหารและเครื่องดื่ม : หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นอาการปวดหัว เช่น ชีส เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์แดง
- แสงจ้าและเสียงดัง : ใช้แว่นกันแดดเมื่อออกกลางแจ้ง หรือลดความสว่าง ของจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ และหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีเสียงดัง
จัดการความเครียด
- ฝึกเทคนิคผ่อนคลาย : การทำสมาธิ ฝึกหายใจลึก หรือการทำโยคะ สามารถช่วยลดความเครียดที่เป็นปัจจัยกระตุ้นการปวดหัวได้
- หลีกเลี่ยงความเครียดที่ไม่จำเป็น : หาวิธีจัดการกับปัญหาที่ทำให้ เครียด เช่น การวางแผนงานอย่างมีระบบ การปรึกษาเพื่อนหรือ ครอบครัวเมื่อมีปัญหา
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานดีขึ้น และยังช่วยลดความเครียดที่เป็นปัจจัยกระตุ้นการปวดหัวได้ เช่น เดิน วิ่ง โยคะ หรือว่ายน้ำ
รักษาท่าทางที่ดี
การนั่งหรือยืนในท่าทางที่ถูกต้องช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะ กล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดหัว
ปวดคอ/บ่า
อาการนี้คืออะไร สาเหตุ และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
แนวทางในการสังเกตด้วยตัวเอง
ความรุนแรงของอาการปวด
- ประเมินระดับความเจ็บปวด เช่น รู้สึกตึงแค่เล็กน้อย หรือ เจ็บปวดมาก จนทำให้เคลื่อนไหวได้ยาก หรือมีอาการปวดหัวร่วมด้วย
- ดูว่าอาการปวดเพิ่มขึ้นเมื่อทำกิจกรรมหรือในเวลาที่พักผ่อน
ตำแหน่งการปวด
- สังเกตว่าความเจ็บปวดเกิดขึ้นที่ไหน เช่น บริเวณคอด้านหน้าด้านหลัง บ่า หรือไหล่
- อาการปวดมักเริ่มต้นจากจุดใดจุดหนึ่งและอาจแผ่ไปยังบริเวณใกล้เคียง
ปัจจัยกระตุ้น
- อาการปวดมักเกิดหลังจากทำกิจกรรมใดบ้าง เช่น นั่งทำงาน นานๆ ยกของหนัก หรือนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม
- อารมณ์และความเครียด มีผลต่อการตึงเครียดของกล้ามเนื้อคอและบ่า
อาการร่วม
- สังเกตว่ามีอาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ รู้สึกชา หรืออ่อนแรง ที่แขนหรือมือร่วมด้วยหรือไม่
- อาการปวดที่แผ่ไปยังแขนหรือมือ อาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่เส้นประสาท
เวลาที่เกิดอาการ
- ลองขยับคอหรือบ่าแล้วสังเกตว่ามีความรู้สึกเจ็บเพิ่มขึ้นหรือไม่
- ถ้าคอหรือลำตัวมีการเคลื่อนไหวจำกัด อาจเป็นสัญญาณของกล้ามเนื้อหรือข้อต่อตึง
วิธีการรักษา
ปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน
- พักผ่อน : หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้คอบ่าตึงหรือเจ็บมากขึ้น เช่น การยกของหนักหรือการนั่งในท่าเดิมนานๆ
- ประคบร้อนหรือเย็น
- การยืดกล้ามเนื้อ : ทำการยืดคอและบ่าเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วย ลดอาการตึง
- ปรับท่าทาง : นั่งและยืนในท่าทางที่เหมาะสม ไม่ควรนั่งก้มตัวหรือโค้ง หลังนานเกินไป
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและท่าทาง
- ควรปรับการนั่งทำงานให้เหมาะสม โดยนั่งให้หลังตรงและสายตาขนานกับจอคอมพิวเตอร์
- หยุดพักจากการทำงานเป็นระยะ เพื่อลดความตึงของกล้ามเนื้อ
การรักษาทางกายภาพบำบัด
- นักกายภาพบำบัดจะช่วยในการออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อเฉพาะที่ รวมถึง การปรับปรุงท่าทางในการนั่งหรือทำงาน เพื่อป้องกันการบาดเจ็บในอนาคต อาจใช้เครื่องมือช่วย เช่น Ultrasound , Electrical stimulation , Shockwave , PMS หรือเทคนิคการนวดเพื่อบรรเทาอาการปวด
- การนวดกดจุด เพื่อช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อในบริเวณคอบ่า สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้
วิธีการป้องกัน
ปรับท่าทางในการทำงาน
- นั่งหรือยืนในท่าที่ถูกต้อง หลีกเลี่ยงการก้มคอหรือเงยคอมากเกินไป หรืออยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานเกิน
- ใช้เก้าอี้ที่รองรับหลังและคอได้ดี ปรับระดับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ตรงกับระดับสายตา
ลดความเครียด
- ความเครียดสามารถทำให้กล้ามเนื้อคอและบ่าตึงได้ ควรหาวิธีผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ ฝึกหายใจลึกๆ หรือการทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย
ออกกำลังกายและยืดกล้ามเนื้อเป็นประจำ
- ฝึกยืดกล้ามเนื้อคอ บ่า และไหล่ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาความยืดหยุ่น
- การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น เดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
ปรับตำแหน่งในการนอน
- ใช้หมอนที่รองรับศีรษะและคอในท่าทางที่ถูกต้อง
- นอนในท่าที่ไม่ทำให้กล้ามเนื้อคอและบ่าตึง เช่น นอนหงายหรือนอนตะแคง
ปวดหลัง
อาการนี้คืออะไร สาเหตุ และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
แนวทางในการสังเกตด้วยตัวเอง
สาเหตุการเกิด
- ลองสังเกตว่ามีการใช้งานกล้ามเนื้อหลังมากเกินไปหรือไม่ เช่น การยกของหนัก นั่งท่าเดิมนาน ๆ หรือออกกำลังกายหนัก
- มีการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุที่ส่งผลต่อหลังหรือไม่ เช่น หกล้มหรือการชน
อาการร่วมอื่นๆ
- มีอาการชาหรืออ่อนแรงบริเวณขาหรือสะโพก
- มีไข้หรืออาการปวดมากร่วมกับอาการอักเสบ
ลักษณะของอาการปวด
- ปวดแบบตื้อ ๆ หรือปวดแปล๊บเฉียบพลัน
- ปวดตลอดเวลาหรือปวดเป็นช่วง ๆ
ระยะเวลาของการปวด
- ปวดชั่วคราวหรือปวดเรื้อรัง
- อาการปวดดีขึ้นหรือแย่ลงเมื่อผ่านเวลาไป
ตำแหน่งการปวด
- ปวดเฉพาะที่หลังส่วนบน ส่วนกลาง หรือส่วนล่าง
- ปวดลงไปยังขาหรือสะโพก
การประคบ
ใช้ประคบร้อนหรือเย็นเพื่อลดอาการปวด และอักเสบ การประคบเย็นช่วยลดการอักเสบ ช่วง 48 ชั่วโมงแรก และหลังจากนั้นการประคบ ร้อนจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
การยืดกล้ามเนื้อ
ทำการยืดกล้ามเนื้อเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง
การปรับท่าทาง
ปรับเปลี่ยนท่านั่ง ท่ายืน หรือ การนอนให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดการกดทับที่หลัง
การทำกายภาพบำบัด
เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ที่ตึงตัวของกล้ามเนื้อและช่วยลดอาการปวด
วิธีการป้องกัน
รักษาท่าทางที่ถูกต้อง การยืน การเดิน
ออกกำลังกายเพื่อเสริม ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนในท่าเดิมนานเกินไป
หลังค่อม/ไหล่ห่อ
อาการนี้คืออะไร สาเหตุ และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
ภาวะที่กระดูกสันหลังโค้งเกินปกติ ทำให้หลังดูโค้งขึ้น โดยจะเกิดร่วมกับภาวะที่ไหล่ยื่นไปด้านหน้ามากเกินไป (Rounded Shoulders) มักจะมีอาการข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง ทำให้ไหล่เหมือนห่อเข้าหากัน ซึ่งคนไข้จะมีอาการปวดเมื่อย ตึง คอ บ่า สะบัก กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก และหลังช่วงด้านบนจะมีความตึงตัวมาก อาจมีสาเหตุมาจากจากการนั่งหรือยืนในท่าที่ผิดนานๆ กล้ามเนื้อทำงานไม่สมดุลจากการนั่ง ยืน หรืออยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ ทำให้ร่างกายเกิดความเคยชินกันท่าทางนั้น เมื่อกล้ามเนื้อไม่ได้ถูกยืด คลาย เป็นเวลานานจึงทำให้กล้ามเนื้อเกิดการตึงตัวและมีความยืดหยุ่นที่น้อยลง จึงทำให้คนไข้มีลักษณะหลังค่อม ไหล่ห่อ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดโรคออฟฟิศซินโดรม หลังค่อมในคนอายุน้อย กระดูกสันหลังคด โรคกระดูกพรุน และโรคกระดูกเสื่อม ร่วมด้วย
แนวทางในการสังเกตด้วยตัวเอง
ยืนหน้ากระจก
หากพบว่าไหล่และหลังส่วนบนโค้งไปข้างหน้า มากเกินไปอาจเป็นสัญญาณของหลังค่อม สังเกตระดับหัวไหล่ทั้งสอง ความสูงต่ำ
สังเกตตำแหน่งไหล่ทั้งสองรวมถึงคอ
ความโค้งของหลัง
ความสูงต่ำ ถ้าไหล่ยื่นไปข้างหน้าแทนที่จะอยู่ ในแนวตรงกับใบหู อาจแสดงว่าไหล่ห่อ
อาการปวดตึงกล้ามเนื้อ
ในบริเวณต่างๆ เช่น คอ บ่า ไหล่ สะบัก ร่วมกับมีอาการร้าวหรือชา
ออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อ เป็นประจำ เช่น Chest Open , Cat and Cow เป็นต้น
การจัดกระดูกสันหลัง โดยผู้เชี่ยวชาญ ช่วยลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อและ ปรับปรุงท่าทางให้ดีขึ้น
การทำกายภาพบำบัด เพื่อช่วยลด อาการปวด , ความตึงของกล้ามเนื้อ และแนะนำท่าออกกำลังกายที่ถูกต้องเพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานสมดุลกัน
ปรับปรุงท่าทางในชีวิตประจำวัน นั่งให้หลังตรง
ไม่อยู่ในท่าในท่าหนึ่งซ้ำๆ นานเกิน
2-3 ชั่วโมงต่อวัน
ควรปรับเปลี่ยนท่านั่งหรือยืน ทุก 30-60 นาที
การออกกำลังกาย เสริมความแข็งแรงของหลัง ส่วนบนและกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
ยืดกล้ามเนื้อระหว่างวัน
กระดูกสันหลังคด
อาการนี้คืออะไร สาเหตุ และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
เป็นภาวะที่กระดูกสันหลังโค้งผิดปกติไปด้านข้าง (ซ้ายหรือขวา) การผิดรูปของแนวกระดูกสันหลัง จากปกติที่โค้งไปด้านหน้าและหลังเล็กน้อย กลายเป็นโค้งงอ บิด ไปด้านซ้ายหรือขวา ส่งผลให้ไหล่ เอว สะโพกไม่เท่ากัน โดยมักจะโค้งเป็น รูปตัว C หรือ S โดยมักไม่มีอาการ หรือคนไข้บางคนจะมีอาการปวดร่วมด้วยเมื่อกระดูกสันหลังคดมากแล้ว และยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด อาจมีปัจจัยต่างๆ ที่ส่งเสริมให้เกิดดังนี้ เป็นตั้งแต่เกิด จากการสร้างและเจริญเติบโตที่ผิดปกติของกระดูกสันหลังตั้งแต่ในครรภ์ , พันธุกรรม , อริยาบท เช่นการนั่งไขว้ห้างเป็นประจำ , ยกของหนักๆ , ความเสื่อมตามวัย , อุบัติเหตุ , กล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลังฝ่อลีบ สามารถก่อให้เกิดโรค โครงสร้างที่ผิดปกติของร่างกาย ความสมดุลของร่างการที่อาจกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม มีการกดทับเส้นประสาท มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ อาการปวดหลังและข้อต่อ และทำให้การเคลื่อนไหวผิดปกติ
แนวทางในการสังเกตด้วยตัวเอง
ตรวจสุขภาพประจำปี
X-ray
คอยสังเกตระดับไหล่
ไหล่สองข้างไม่เท่าหรือไม่ และสะโพก ทั้ง2ข้างไม่สมดุล อาจเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง
อาการปวดหลังที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
ในบริเวณที่เดิม เช่นบริเวณหลังช่วงบน อาจมีอาการปวด ร่วมกับการร้าวชาลงแขนหรือปวดร้าวขึ้นศรีษะหรือบริเวณหลังช่วงล่าง อาจสังเกตได้จากความไม่เท่ากันของสะโพก ความยาวของขา และอาการร้าวชาซึ่งจะพบว่า มีอาการปวดร้าวลงก้น สะโพก ขา หรือเท้าได้
การสังเกตความสูงที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
การจัดกระดูก
เพื่อปรับโครงสร้างแนวแกนกลาง ลำตัวให้อยู่ในลักษณะที่สมดุลมากที่สุด
การออกำลังกายและการทำกายภาพบำบัด
เพื่อลดอาการปวด ตึงกล้ามเนื้อ ร่วมกับ การออกกำลังกายเพื่อปรับให้กล้ามเนื้อทั้ง สองฝั่งทำงานสมดุลกัน
การผ่าตัด
ในกรณีที่กระดูกสันหลังคดรุนแรง และส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย
การยืนและนั่งหลังตรง
หลีกเลี่ยงการนั่งท่าทางไม่ดี เช่น นั่งตัวเอียง นั่งไขว่ห้าง
ไม่ใช้กล้ามเนื้อข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป
เช่น ลดการนั่งไขว้ห้าง สะพายกระเป๋าข้างเดียว ยกของหนัก
ตรวจสุขภาพ
กระดูกสันหลังประจำปี
การยืดกล้ามเนื้อ
เพื่อช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อหลัง การดูแลกระดูกและข้อต่อ
การออกกำลังกาย
เสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลาง
ออฟฟิศซินโดรม
อาการนี้คืออะไร สาเหตุ และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
เกิดจากการใช้ร่างกายในท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานานทำให้มีอาการปวดตึงร่างกายในบริเวณต่างๆหลายจุดๆ เช่น คอ บ่า ไหล่ หลังช่วงล่าง สะโพก ซึ่งบางรายอาจมีอาการปวดร้าว เหน็บชา ข้อติดได้ ซึ่งมักพบในคนที่มีอาการปวดเรื้อรังมานาน สาเหตุคือ อิริยาบถ การนั่ง ยืน เดิน ที่ใช้เวลานานในการใช้งาน 5-6 ชั่วโมงต่อวัน ความเครียด การขยับตัวน้อยทำให้ร่างกายใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ จึงเกิดการตึงตัว
และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง : กระดูกทับเส้นประสาท ปวดหลังร้าวลงขา เหน็บชา เวลาไอ จาม หรือเบ่งจะรู้สึกปวดลึกเนื่องจากเกิดแรงดันในไขสันหลัง
แนวทางในการสังเกตด้วยตัวเอง
อาการปวดที่ยาวนานมากกว่า 2-4 สัปดาห์ ปวดหลังร่วมกับมีอาการร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ปวดคอร้าวลงแขน แขนอ่อนแรง หรือชาไปจนถึงไม่สามารถควบคุมการใช้มือได้
ความรุนแรงของอาการปวด
- ประเมินระดับความเจ็บปวด เช่น รู้สึกตึงแค่เล็กน้อยหรือเจ็บปวดมากจนทำให้เคลื่อนไหวได้ยาก
- ดูว่าอาการปวดเพิ่มขึ้นเมื่อทำกิจกรรมหรือในเวลาที่พักผ่อน
ตำแหน่งการปวด
- สังเกตว่าความเจ็บปวดเกิดขึ้นที่ไหน เช่น บริเวณคอด้านหน้า ด้านหลัง บ่า หรือไหล่
- อาการปวดมักเริ่มต้นจากจุดใดจุดหนึ่งและอาจแผ่ไปยังบริเวณใกล้เคียง
ปัจจัยที่กระตุ้นอาการ
- อาการปวดมักเกิดหลังจากทำกิจกรรมใดบ้าง เช่น นั่งทำงานนานๆยกของหนัก หรือนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม
- อารมณ์และความเครียด มีผลต่อการตึงเครียดของกล้ามเนื้อคอและบ่า
อาการร่วม
- สังเกตว่ามีอาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ รู้สึกชา หรืออ่อนแรงที่แขน หรือมือร่วมด้วยหรือไม่
- อาการปวดที่แผ่ไปยังแขนหรือมือ อาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่เส้นประสาท
การเคลื่อนไหว
- ลองขยับคอหรือบ่าแล้วสังเกตว่ามีความรู้สึกเจ็บเพิ่มขึ้นหรือไม่
- ถ้าคอหรือลำตัวมีการเคลื่อนไหวจำกัด อาจเป็นสัญญาณของกล้ามเนื้อหรือข้อต่อตึง
การดูแลตัวเอง
พักผ่อน หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้คอบ่าตึงหรือเจ็บมากขึ้น เช่น การยกของหนักหรือการนั่งในท่าเดิมนานๆ
- ประคบร้อนหรือเย็น
- การยืดกล้ามเนื้อ : ทำการยืดคอและบ่าเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยลดอาการตึง
- ปรับท่าทาง : นั่งและยืนในท่าทางที่เหมาะสม ไม่ควรนั่งก้มตัวหรือ โค้งหลังนานเกินไป
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและท่าทาง
- ควรปรับการนั่งทำงานให้เหมาะสม โดยนั่งให้หลังตรงและสายตาขนานกับจอคอมพิวเตอร์
- หยุดพักจากการทำงานเป็นระยะ หรือเปลี่ยนท่าทาง เพื่อลดความตึงของกล้ามเนื้อ
การรักษาทางกายภาพบำบัด
- นักกายภาพบำบัดจะช่วยในการออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อเฉพาะที่ รวมถึงการปรับปรุงท่าทางในการนั่งหรือทำงาน เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ ในอนาคต อาจใช้เครื่องมือช่วย เช่น Ultrasound, Shockwave , PMS , Electrical stimulation หรือเทคนิคการนวดเพื่อบรรเทาอาการปวด
- การนวดกดจุด เพื่อช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อในบริเวณคอบ่าสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้
ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
ปรับท่าทางการนั่งให้ถูกต้อง รวมไปถึงโต๊ะหรือเก้าอี้ ในออฟฟิศ
การยืดเหยียดร่างกายให้มีความยืดหยุ่น
การทำกายภาพำบัด เพื่อลดอาการตึงของกล้ามเนื้อ และเสริมสร้างความเเข็งเเรงของกล้ามเนื้อร่วมด้วย
ปวดสะโพก
อาการนี้คืออะไร สาเหตุ และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
โรคที่เกิดจากข้อเชิงกรานมีอาการเจ็บปวด เนื่องจากการเคลื่อนไหวผิดปกติ การเสื่อม การยึด ติด รั้ง การหลวม การอักเสบของเส้นเอ็นที่ยึดข้อเชิงกราน ตลอดจนการวางตัวของแนวกระดูกผิดไปจากเดิมและเกิดการเสียดสีของกระดูกจนเจ็บปวดในขณะเคลื่อนไหว บางรายอาจมีอาการปวดสะโพกร้าวลงขา ปวดสะโพกขณะเปลี่ยนท่าจากนั่งเป็นยืน มีอาการอ่อนแรง เมื่อยได้ง่ายหากต้องเดินนานๆ
สาเหตุ : อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ
- น้ำหนักมากเกินไป
- ความเสื่อมข้อต่อสะโพก กระดูกพรุน
- พฤติกรรมนั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ หรือท่านั่งยองๆ
- กล้ามเนื้อสะโพกตึง การอักเสบของเส้นเอ็น
สามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง :
- ความเสื่อมข้อต่อสะโพก กระดูกพรุน
- โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Herniated Disc)
- โรคปวดสะโพกร้าวลงขาจากข้อเชิงกราน (Sacroiliac Joint Dysfunction)
แนวทางในการสังเกตด้วยตัวเอง
ปวดสะโพกอย่างรุนแรง หรือปวดติดต่อกัน 3-4 สัปดาห์
ได้ยินเสียงดังและรู้สึกเจ็บบริเวณข้อต่อ เมื่อเคลื่อน ไหวร่างกาย
ข้อต่อสะโพกผิดรูป หรือ บวม
ไม่สามารถลงน้ำหนักที่สะโพกได้
เกิดอุบัติเหตุ หรือ การชนและกระแทกบริเวณสะโพก
การประคบร้อนและประคบเย็น
การยืดเหยียดกล้ามเนื้อบรรเทาอาการตึง
การทำกายภาพบำบัด เพื่อบรรเทา การปวดและเสริมความแข็งแรง ให้กล้ามเนื้อ
ประคบอุ่น
เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ตึงตัว
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานดีขึ้น และยังช่วย ลดความเครียดที่เป็นปัจจัยกระตุ้นการปวดหัวได้ เช่น เดิน วิ่ง โยคะ หรือ ว่ายน้ำ
ลดการเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดการงอ หรือแรง กดทับที่สะโพก
เช่น การนั่งพับเพียบ นั่งสมาธิ หรือการนั่งอยู่กับที่เป็นระยะเวลานาน
รักษาท่าทางที่ดี
การนั่งหรือยืนในท่าทางที่ถูกต้องช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อ
ปวดร้าวลงสะโพก / ขา
อาการนี้คืออะไร สาเหตุ และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
อาการปวดที่เริ่มจากบริเวณกระดูกสันหลังหรือส่วนอื่นๆแล้วแผ่หรือร้าวลงไปยังสะโพก ลงไปขา ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวผิดปกติ การเสื่อม การยึด ติด รั้ง การหลวม การอักเสบของเส้นเอ็นที่ยึดติดข้อต่อ ตลอดจนการวางตัวของแนวกระดูกผิดไปจากเดิมและเกิดการเสียดสีของกระดูกจนเจ็บปวดในขณะเคลื่อนไหว มักมีอาการปวดสะโพกร้าวลงขา
สาเหตุ :
- อายุ ที่มากขึ้น , น้ำหนักมากเกินไป
- ความเสื่อมของกระดูกสันหลังช่วง L4-L5 ทำ
ให้มีอาการปวดร้าวลงสะโพกหรือขาได้ - หมอนรองกระดูกปริ้น
สามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง :
- โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Herniated Disc)
- โรคปวดสะโพกร้าวลงขาจากข้อเชิงกราน (Sacroiliac Joint Dysfunction)
- โรคกล้ามเนื้อตึงตัวทับเส้นประสาท (Piriformis Syndrome)
แนวทางในการสังเกตด้วยตัวเอง
มีอาการตึงของกล้ามเนื้อบริเวณสะโพก
ได้ยินเสียงดังและรู้สึกเจ็บบริเวณข้อต่อ เมื่อเคลื่อนไหวร่างกาย
การบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย หรืออุบัติเหตุต่างๆ เช่น การล้มก้นกระแทก
การยกของหนักหรือยกผิดจังหวะ ทำให้เกิดการบาดเจ็บบริเวณหลัง / สะโพกได้
การประคบ
ใช้ประคบร้อนหรือเย็นเพื่อลดอาการปวดและอักเสบ การประคบเย็นช่วย ลดการอักเสบช่วง 48 ชั่วโมงแรก และหลังจากนั้นการประคบร้อนจะช่วย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
การทำกายภาพบำบัด
เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดและช่วยลดอาการปวด โดยใช้เครื่องมือทางกายภาพ เช่น Ultrasound , Shockwave
การปรับท่าทาง
ปรับเปลี่ยนท่านั่ง ท่ายืน หรือการนอนให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดการกดทับที่หลัง / สะโพก
การยืดกล้ามเนื้อ
ทำการยืดกล้ามเนื้อเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง / สะโพก
รักษาท่าทางที่ถูกต้อง
ปรับเปลี่ยนท่านั่ง / การยืน โดยไม่นั่งไขว่ห้าง หรือนั่งตัวเอียงและไม่อยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน
ออกกำลังกาย
เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
อาการชา
อาการนี้คืออะไร สาเหตุ และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
อาการที่ทำให้สูญเสียการรับรู้หรือการสัมผัสในบริเวณหนึ่งของร่างกาย มักมีความรู้สึกหนาๆ ยิบๆ ซ่าๆ เหมือนเข็มทิ่ม ปวดแสบร้อน เสียวคล้ายไฟช็อต หรือแม้แต่การสูญเสียความรู้สึก สามรถเกิดขึ้นได้ทั้ง นิ้ว ฝ่ามือ แขน ใบหน้า ขา เท้า ฝ่าเท้า
สาเหตุ : อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ
- การกดทับหรือบีบบริเวณเส้นประสาท จากการนั่งหรือยืนนานๆ
- อาการชาที่เกิดจากระบบประสาทส่วนกลาง
- อาการชาที่เกิดระบบประสาทส่วนปลาย
- อาการชาที่เกิดจากภาวะโรคหลอดเลือดอุดตัน
- ภาวะการขาดวิตามิน B1 , B6 , B12 , E , ไนอะซิน
สามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง :
- ชาเฉพาะนิ้ว อาจเป็นสัญญาณของโรคเส้นประสาทมือถูกบีบรัด
- โรคเส้นประสาทกดทับที่ฝ่ามือ เกิดจากการใช้มือเกร็งนาน ๆ ท่าเดิม
- อาจเกิดจากเส้นประสาทบริเวณรักแร้ที่ยาวไปถึงนิ้วก้อย สาเหตุจากการเกร็งข้อศอกในการยกของเป็นเวลานาน
- ชาปลายนิ้วมือเกือบทุกนิ้ว อาจเกิดจากการใช้งานมือหนักมากเกินไป
- ชานิ้วก้อย นิ้วนาง และสันมือ อาจเกิดจากเส้นประสาทบริเวณข้อศอกถูกกดทับ
- ชาบริเวณขา อาจเกิดจากปัญหาบริเวณหลัง หรือกล้ามเนื้อสะโพกถูกบีบรัด
แนวทางในการสังเกตด้วยตัวเอง
อาการที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และมีอาการร้าวชาขยายความกว้างไปยังบริเวณอื่นๆ มากขึ้น
อาการชาที่ส่งผลให้ศูนย์เสียการทรงตัว อ่อนแรง
อาการชาที่รู้สึกร้อนหรือเย็นผิดปกติ
การบำบัดด้วยกายภาพบำบัด
ช่วยในการยืดเหยียดกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทเพื่อลดการกดทับและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
อาการชาไม่รุนแรง
เปลี่ยนอิริยาบถ ท่านั่ง ท่านอน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในท่าเหมาะสมไม่กดทับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมากเกินไป
อาการชารุนแรง และมีอาการต่อเนื่อง
ควรได้รับยารักษาอาการปวดเส้นประสาทส่วนปลาย ตรวจการนำไฟฟ้าของเส้นประสาท หรือตรวจกระดูกด้วยเครื่อง MRI
ทานวิตามิน B
ทานวิตามิน B1 , B6 , B12 , E , ไนอะซิน
ลดโอกาสการเกิดโรคเบาหวาน
เช่น งดการทานของหวาน
การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
การปรับท่าทางนั่งและยืน
หลีกเลี่ยงการอยู่ในอริยาบทเดิมนานๆ
ลดเกิดการทับของเส้นประสาท
การออกกำลังกาย
เพื่อกระตุ้นระบบประสาทและการไหลเวียนโลหิต
ปวดไหล่/ไหล่ติด
อาการนี้คืออะไร สาเหตุ และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
สาเหตุ :
การอักเสบของเยื่อหุ้มข้อไหล่ หรือเนื้อเยื่อเหล่านี้เกิดหนาและตึงขึ้นการเคลื่อนไหวของไหล่จะถูกจำกัด ความเสี่ยงของภาวะไหล่ติดแข็งมักจะเพิ่มขึ้นในผู้ที่มีไม่เคลื่อไหวหัวไหล่หรือเคลื่อนไหวน้อยลงเป็นเวลานาน
อาจรวมถึงสาเหตุจากการบาดเจ็บที่ไหล่ การฟื้นตัวหลังการผ่าตัด การบาดเจ็บหรือการเคลื่อนไหวที่ซ้ำๆ จากการใช้งานมากเกินไป
สามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง :
อาการบาดเจ็บที่เส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อจากการใช้งานเกินไป และข้อไหล่เสื่อมหรือการอักเสบของข้อต่อไหล่
แนวทางในการสังเกตด้วยตัวเอง
ความรุนแรงของอาการปวด
ระดับความเจ็บปวดและความตึงของไหล่ ปวดเพิ่มขึ้นในตอนกลางคืนหรือในขณะนอนหลับ
ตำแหน่งการปวดอาการชาที่แขนหรือมือ
ระดับองศาการยกแขน
หากพบว่าการจำกัดของอกศาการยกแขนอาจบ่งบอกถึงโรคไหล่ติด สังเกตตนเองด้วยการเท้าเอว หากพบว่าเท้าเอวได้ลำบากหรือมีอาการเจ็บเสียวในข้อหัวไหล่อาจบ่งบอกถึงโรคหัวไหล่ติด
ระยะเวลามีอาการเจ็บที่หัวไหล่ อาการบวม
หรือร้อนบริเวณหัวไหล่ และอาจมีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย
หลีกเลี่ยงการใช้งานที่ผิดปกติ
การยกแขนสูงหรือการเคลื่อนไหวที่ใช้แรงมากเกินไป
การรักษา
โดยแพทย์ทางเลือก เช่น การจัดกระดูก การฝังเข็ม
การทำกายภาพบำบัด
ทำท่าบริการร่างกายสำหรับผู้ป่วยหัวไหล่ติด คือ 4 ท่าบริหาร บรรเทาอาการไหล่ติด
ท่าที่ 1 แกว่งแขนแบบลูกตุ้มนาฬิกา – ยืนหันข้าง โดยให้ไหล่ที่ดีหันข้างให้โต๊ะและท้าวแขนไว้บนโต๊ะ โน้มตัวไปด้านหน้า และปล่อยแขนด้านที่มีปัญหาลง แกว่งเป็นรูปวงกลมเบาๆ ช้าๆ
ท่าที่ 2 ท่ากางไหล่ – นั่งหันข้างโดยให้แขนข้างที่มีปัญหาชิดกับโต๊ะ นั่งกางไหล่ วางแขนไว้บนโต๊ะค่อยๆเลื่อนๆตัวออกในระยะที่พอทนได้ แล้วค้างไว้ประมาณ 10 วินาที
ท่าที่ 3 ท่ายืดกล้ามเนื้อด้านหน้า – นอนหงาย เอามือไขว้รองศีรษะ ยกศอกตั้งขึ้นในระยะที่พอทนได้ แล้วค้างไว้ประมาณ 10 วินาที
ท่าที่ 4 ท่ายกไม้ – จับปลายไม้ด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วยกขึ้นลงเหนือศีรษะ
หลีกเลี่ยง
หลีกเลี่ยงการห่อไหล่ , บิดตัว , ยกของหนัก หรือการยกแขนสูงเกิน
การออกกำลังกาย
การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และเสริมความแข็งแรงของข้อไหล่
ควรรีบพบแพทย์
เมื่อมีอาการเจ็บ หรือพบว่าองศาการยกแขนทำได้น้อย
หมอนรองกระดูกเสื่อม / ทับเส้นประสาท
อาการนี้คืออะไร สาเหตุ และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท (Herniated Disk) การเคลื่อนหรือแตกออกของหมอนรองกระดูกสันหลังออกไปจากขอบเขตปกติของแนวกระดูกสันหลัง ส่งผลให้เกิดการไปกดทับต่อไขสันหลังหรือเส้นประสาท ที่ออกจากรกะดูกสันหลัง ส่งผลทำให้เกิดอาการปวดบริเวณหลังหรือคอ ปวดร้าวไปที่แขนหรือขา กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง และชาไปตามบริเวณที่เส้นประสาทระดับนั้น ๆ
สาเหตุ :
1.ความเสื่อมสภาพของหมอนรองกระดูกตามอายุ
2.อุบัติเหตุที่มีการบาดเจ็บบริเวณหลังส่วนล่าง หรือมีการหักของกระดูก
3.การทำกิจกรรม หรือการใช้งานหลังไม่ถูกต้องในลักษณะของการทำซ้ำ ๆ
4.การอยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะสม และน้ำหนักตัวที่เกิน
แนวทางในการสังเกตด้วยตัวเอง
ปวดหลังร่วมกับร้าวลงขา
มักมีอาการปวดที่ขามากกว่าที่หลัง
มีอาการปวดเพิ่มขึ้นขณะขยับเคลื่อนไหว
ไม่สามารถเหยียดหลังตรงหรือก้มตัวได้ เปลี่ยนท่าทางลำบาก
กล้ามเนื้อต้นขา ขา หรือเท้าอ่อนแรง
พบการเดินในลักษณะของปลายเท้าตก ไม่สามารถกระดกเท้าได้ หรือไม่สามารถเดินลงน้ำหนักขา 2 ข้างได้เท่ากัน
มีอาการปวดหลังร้าวลงขามากขึ้น ขณะไอ หรือจาม
การรับความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไป
มีอาการชา (Numbness) และซ่า (Tingling) , บริเวณขาลงไปถึงเท้า ตามบริเวณที่เส้นประสาทมาเลี้ยง
มีปัญหาในการควบคุมปัสสาวะ หรืออุจจาระ
การรักษาแบบ
- การทำกายภาพบำบัด โดยใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เพื่อลดอาการปวด , ลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ลดอาการชา ร่วมกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเพื่อลดความตึงและเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
- การรับประทานยาหรือฉีดยา เพื่อระงับอาการปวด
การผ่าตัด
ในกรณีที่มีอาการปวดรุนแรงมาก ร่วมกับมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมาก
การหลีกเลี่ยง
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้กระดูกสันหลังรับภาระมากเกินไป เช่น การยกของหนัก
การปรับพฤติกรรม
ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่จะนำไปสู่ภาวะหมอนรองกระดูกสันหลัง ทับเส้นประสาท เช่น เลี่ยงการก้มยกของหนัก เปลี่ยนท่าทางขณะนั่งทำงาน
การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นคงของกระดูกสันหลัง และยังมีการออกกำลังกาย ประเภท Specific Exercise นั่นคือการออกกำลังกายแบบแมคเคนซี่ (McKenzie Exercise) เพื่อช่วยลดอาการปวด ลดการกดทับของเส้นประสาท
การลดปวด, อาการชา และการกดทับเส้นประสาท
โดยการรักษาด้วยเทคนิคทางมือ เช่น การจัด ดัด ดึงข้อต่อ และการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดร่วมด้วย
ปวดที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อและกระดูก
อาการนี้คืออะไร สาเหตุ และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก เป็นอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อ และเส้นเอ็น อาการปวดอาจเกิดขึ้นที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งหรือทั่วร่างกาย อาจเกิดได้หลายสาเหตุ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของอาการ อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูกเฉียบพลันอาจเป็นผลมาจากการได้รับบาดเจ็บอย่างฉับพลันมักพบทันที ส่วนอาการปวดเรื้อรังอาจเกิดจากภาวะเสื่อมถอยของร่างกาย โรคข้ออักเสบ หรือ Fibromyalgia มักมีพบว่ามีอาการในจุดเดิมมานานมากกว่า 1 เดือน สามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้
1.อาการปวดกล้ามเนื้อ : เช่น กล้ามเนื้อเป็นตะคริว หดเกร็ง
2.อาการปวดหลัง เนื่องจากการอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสม เช่นการนั่งหรือนอน
3.อาการปวดกระดูก : เนื่องจากกระดูกแตก ได้รับบาดเจ็บ หรือเนื้องอกกระดูก ซึ่งอาจทําให้ปวดกระดูกได้เช่นกันแต่พบได้น้อย
4.อาการปวดข้อ : จากการข้ออักเสบ ข้อติด หรือติดเชื้อในข้อ
5.อาการปวดจากการบาดเจ็บ : เนื่องจากอุบัติเหตุ การฉีกขาดของกล้ามเนื้อหรือเอ็น เคล็ดขัดยอก หรือการใช้งานที่หนักเกินไป
สาเหตุ :
1.การทำกิจกรรมในระหว่างวัน และ การใช้งานมากเกินไป ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เช่นการนั่งทำงาน การยกของ
2.ความเสื่อมของร่างกาย เช่น ข้อต่อเสื่อม กล้ามมีความยืดหยุ่นน้อยลง
3.การอักเสบที่เกิดจากโรค เช่น โรครูมาตอยด์
4.ความเครียด สามารถส่งผทำให้กล้ามเนื้อเกร็งหรือตึง
แนวทางในการสังเกตด้วยตัวเอง
ความถี่ของอาการ และระยะเวลาที่มีอาการปวด
เช่น 1 เดือน มักมีอาการปวดจุดเดิม มากกว่า 3 ครั้งร่วมกับมีอาการร้าว ชา หรือเป็นตะคริว
ลักษณะผิวบริเวณที่มีอาการ
เช่น มีความร้อน /เย็นเกินไป สีผิวที่เปลี่ยนไป เช่น ซีด ดำคล้า กดแล้วบุ๋ม แห้ง ลอก คัน มีผื่น
ระดับความเจ็บ 0-10
มีไข้สูงร่วมด้วย
ทานยาแก้ปวดแล้วไม่ดีขึ้น
การปรับพฤติกรรมหรือท่าทาง
ให้อยู่ในท่าทางที่ถูกต้อง
กายภาพบำบัด
เพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว ป้องกันการติด และส่งเสริมให้กล้ามเนื้อเกิดความแข็งแรง
การรักษาด้วยยาและการทำกายภาพบำบัด
จะต้องทำควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดผลการรักษาที่ดีที่สุด
ไม่ควรนั่งหรือยืนในท่าเดิมนานๆ
ควรเปลี่ยนอิริยาบททุกๆ 1-2 ชั่วโมง
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
พยายามไม่เครียด หรือวิตกกังวล
การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
เพื่อลดความเครียดและความตึงของกล้ามเนื้อ
ปวดเข่า เข่าเสื่อม
อาการนี้คืออะไร สาเหตุ และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
โรคข้อเข่าเสื่อม อาการที่เกิดจากการสึกหรอของกระดูกอ่อน (cartilage) ที่รองรับข้อต่อในเข่าซึ่งทำให้เกิดการเสื่อมสภาพและทำให้กระดูกข้างเคียงเกิดการเสียดสีกัน ส่งผลทำให้เกิดการอักเสบและปวดข้อต่อเมื่อเคลื่อนไหว เป็นโรคเรื้อรังที่ทำให้กระดูกอ่อนบางลง ลักษณะของโรคข้อเข่าเสื่อมจึงดำเนินไปอย่างช้าๆ และเพิ่มความรุนแรงของโรคตามเวลาที่ผ่านไป อาการทางคลินิก ได้แก่ อาการปวดข้อ ข้อฝืดแข็ง กล้ามเนื้อรอบข้อเข่าอ่อนแรง โครงสร้างของข้อเปลี่ยนแปลง ข้อผิดรูปจนทำให้ไม่สามารถเดินได้ตามปกติ
สาเหตุ :
1.พบว่าผู้หญิงเกิดโรคข้อเสื่อมมากกว่าผู้ชาย 2-3 เท่า
โดยเฉพาะที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน (Menopause)
2.นํ้าหนักตัวมากเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของ
โรคข้อเข่าเสื่อม ขณะเดินจะมีนํ้าหนักตัวที่ลงบริเวณข้อเข่า
3.อาชีพที่ต้องยกของหนัก ต้องเดินหรือยืนนานๆ ท่าทางหรือ
กิจกรรมประจำ วันที่มีแรงกดต่อข้อเข่ามาก
4.ข้อเข่าหลวม กล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรง หรือขาโก่งผิดรูป
ทำให้นํ้าหนักตัวกดลงผ่านผิวข้อเข่าไม่เท่ากัน
5.กรรมพันธุ์ ซึ่งจะพบมากในเพศหญิง
แนวทางในการสังเกตด้วยตัวเอง
อาการปวดข้อเข่า
ปวดเมื่องอเข่า เดินขึ้น-ลงบันได หรือยืนกิจกรรมนาน ๆ หรือขณะวิ่ง ลักษณะการปวดแบบตื้อๆ (Dull pain) ปวดในข้อเข่า ปวดเรื่อรัง
อาการข้อฝืด
มักมีอาการหลังตื่นนอนตอนเช้า หรือหลังจากนั่งพักนานๆ หากขยับข้อสักครู่ จึงสามารถขยับมากขึ้น
อาการข้อเข่าอ่อนแรงและไม่มั่นคง
กล้ามเนื้อรอบๆ เข่าไม่มีแรง และข้อเข่ายึด และกล้ามเนื้อมีความ แข็งแรงลดลง ทำ ให้ข้อมีความมั่นคงและความคล่องตัวลดลง ขณะทำ กิจกรรมจะรู้สึกว่าข้อติดขัด ฝืดแข็ง
อาการของข้อเข่าเป็นๆ หายๆ
ขึ้นอยู่กับปัจจัยจากสภาพสิ่งแวดล้อม เช่น ความกดอากาศตํ่า ทำให้อุณหภูมิของอากาศลดลง อากาศเย็นจะทำให้รู้สึก อาการปวดเข่ากลับเป็นซํ้าและรุนแรง
อาการมีเสียงดังในข้อ
เกิดเสียงดังกรอบแกรบภายในข้อเข่า โดยเฉพาะ ขณะเดินเคลื่อนไหว งอเข่าหรือเหยียดเข่า
อาการเข่าบวม
อาการนี้เป็นๆ หายๆ
การใช้เครื่องมือพยุงข้อเข่า
เพื่อช่วยพยุงกล้ามเนื้อและลดการเคลื่อนไหว
การออกกำลังกาย
เสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบเข่า เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
การรักษาการจัดกระดูก
เพื่อช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อลดการปวดและตึงกล้ามเนื้อบริเวณรอบๆ ข้อเข่าได้
การทำกายภาพบำบัด
ช่วยลดอาการปวด , การอักเสบบริเวณเข่าและเพื่อเสริมความแข็งแรงของข้อเข่า ซึ่งจะช่วยลดภาระที่กระดูกข้อเข่าต้องรับ
การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
ป้องกันการเกร็งของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า
การควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม
เพื่อลดแรงกดทับที่ข้อเข่า
ปรับท่าทางหรืออิริยาบถในชีวิตประจำวัน
- เพื่อลดการบาดเจ็บและแรงเค้นซํ้า ๆ ต่อข้อเข่า
- หลีกเลี่ยงการนั่งคุกเข่า การขัดสมาธิ การนั่งพับเพียบ
หลีกเลี่ยงการเดินขึ้น - ลง บันได
- เนื่องจากการขึ้น - ลงบันได ทำให้เกิดแรงกดต่อข้อเข่า หากจำเป็นควรเดินเกาะราวบันได
ออกกำลังกายและยืดกล้ามเนื้อเป็นประจำ
- การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความเเข็งแรง
ลดน้ำหนัก
- เพื่อช่วยลดแรงกดทับที่ข้อเข่า
ปวดเท้า รองช้ำ
อาการนี้คืออะไร สาเหตุ และสามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
มักจะมีอาการบริเวณส้นเท้าด้านใน ทำให้มีอาการปวดมากในก้าวแรกที่จะลุกจากเตียงนอนในตอนเช้า หรือในช่วงที่นั่งทำงานเป็นเวลานานและจะลุกจากเก้าอี้ มักเกิดขึ้นจากการใช้งานหรือแรงกดทับที่มากเกินไปบนฝ่าเท้า ร่วมกับกับภาวะเอ็นร้อยหวายและเอ็นใต้ฝ่าเท้าตึงตัว น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น มักพบในกลุ่มนักกีฬา เช่น นักวิ่ง ผู้สูงอายุ มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
สาเหตุ :
อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ
1.น้ำหนักตัวที่มากเกินไป
2.การเดิน การวิ่ง การนั่ง ที่มากเกินความจำเป็น
3.การฝึกต่างๆที่ผิดท่าทาง
4.การสวมรองเท้าที่แข็งเกินไป หรือนุ่มเกินไป
สามารถก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง :
1.เอ็นใต้ฝ่าเท้าอักเสบ (Plantar Fasciitis)
2.มีการแตกหักที่กระดูกส้นเท้า Calcaneal Stress Fracture)
3.ชั้นไขมันใต้ฝ่าเท้าฝ่อลีบ (Fat Pad Atrophy)
4.เนื้องอกที่เส้นประสาทเท้า (Neuroma)
แนวทางในการสังเกตด้วยตัวเอง
อาการเจ็บที่ส้นเท้า
เมื่อเดินหรือยืนนานๆ เดินแล้วมีอาการเจ็บ อาการเจ็บจะรุนแรงขึ้นตามเวลาที่ใช้งาน เช่นการเดินบนพื้นแข็งๆ
อาการปวดเฉพาะ
ที่บริเวณส้นเท้า ปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่อง ปวดสะดุ้งเมื่อเดิน 2-3 ก้าวเเรก หลังจากตื่นนอน หรือ นั่งนานๆ
เลือกรองเท้าที่เหมาะสม
รับแรงกระแทกบริเวณส้นเท้าเป็นพิเศษหรือเจาะรูที่พื้น รองเท้าให้เป็นวงกลม เพื่อไม่ให้เกิดแรงกดทับบริเวณที่อักเสบ
การออกกำลังกาย
เสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบเข่า เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
การทำกายภาพบำบัดด้วยตนเอง
การฝึกยึดเอ็นร้อยหวาย , กล้ามเนื้อใต้ฝ่าเท้า
ลดน้ำหนัก
หากน้ำหนักตัวยังคงมากอยู่ควรเปลี่ยนไป ออกกำลังชนิดอื่นที่ไม่มีการกระแทกบริเวณส้นเท้า เช่น การว่ายน้ำ หรือ ปั่นจักรยาน
กายภาพบำบัด
โดยการรักษาด้วยคลื่นกระแทก (Shockwave Therapy) บริเวณที่เจ็บปวดโดยตรงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการรักษา ใช้ในกรณีที่มีอาการเจ็บปวดเรื้อรังที่ไม่ตอบสนอง ต่อการรักษาชนิดอื่น
หลีกเลี่ยง
- การเดินเยอะๆ วิ่งนานๆ
รักษาอย่างต่อเนื่อง
- เพื่อป้องกันอาการที่อาการเกิดมากขึ้นในอนาคต
ยืดกล้ามเนื้อและผังผืด
- ยืดกล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวาย
- ยืดพังผืดใต้ฝ่าเท้า